คนใส่ใจสุขภาพต้องรู้ ในบรรดาวิตามินเสริมมากมาย มีตัวไหนที่ควรกินบ้าง?

ในปัจจุบันตามร้านขายยามีวิตามินเสริมวางขายอยู่หลายตัวหลายยี่ห้อ ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ A ถึง Zinc จนทำให้คนที่คิดว่าตัวเองกินอาหารครบดีและมีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้วเกิดสับสนขึ้นนิดๆ ว่า “แล้วเราจะต้องกินวิตามินเสริมบ้างไหมเนี่ย”

แพทย์มีคำแนะนำว่า คนเราได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารที่กินเข้าไป แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังได้ปริมาณวิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอต่อที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ก็ไม่ถึงกับต้องกวาดวิตามินเสริมมากินหมดทุกตัว เพียงแค่เลือกรับประทานเสริมในตัวที่จำเป็นเท่านั้นก็เพียงพอ เราเลยนำคำแนะนำจากเว็บไซต์ Independent ที่ผ่านการสอบถามจากนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญ ถึงวิตามินจำเป็นหลักๆ ที่ควรกินเพื่อดูแลร่างกายให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์เสมอมาฝากกัน

1. วิตามินดี
วิตามินดีมีส่วนสำคัญในการปรับสมดุลแคลเซียมและฟอสเฟต เสริมภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูก ร่างกายคนเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดด แต่ได้รับน้อยมากจากอาหาร โดยรวมแล้วจึงมีโอกาสที่จะได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ

นักโภชนาการแนะนำให้ผู้ใหญ่ทุกคน รวมถึงสตรีมีครรภ์ คุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร และเด็กที่อายุุมากกกว่า 1 ขวบขึ้นไป รับประทานวิตามินดีเสริมในปริมาณ 10 ไมโครกรัม/วัน ข้อมูลต้นทางซึ่งเป็นประเทศแถบยุโรปแนะนำให้ทานทุกวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เนื่องจากสภาพอากาศไม่อำนวยให้มีแดดมากนัก ส่วนผู้ใหญอายุมากกว่า 65 ปี ให้ทานเสริมทุกวันตลอดทั้งปี เพราะเป็นวัยที่เผชิญภาวะขาดวิตามินดีได้มากที่สุด

 
2. ธาตุเหล็ก
เหล็ก เป็นธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะรายที่มีอาการประจำเดือนมามาก ตลอดจนกลุ่มคนที่ทานมังสวิรัตหรือวีแกน

การได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง นำมาซึ่งอาการอ่อนเพลีย แน่นหน้าอก ผิวพรรณซีด และยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอด้วย

 
3. วิตามินบี 12
บี 12 เป็นวิตามินที่ผู้เป็นวีแกน (ไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มาจากสัตว์) เสี่ยงจะได้รับไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายมากที่สุด เพราะอาหารที่มีวิตามินบี 12 มากที่สุดคือเนื้อแดง ใครรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มสุ่มเสียงนี้จึงควรกินวิตามินเสริม เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดวิตามินบี 12 อันส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง

 
4. แคลเซียม
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบได้มากจากแหล่งอาหารธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นนม ผลิตภัณฑ์จากนม และผักใบเขียว แต่หากคุณเป็นผู้มีปัญหาเรื่องความหนาแน่นมวลกระดูกต่ำ ก็ควรต้องบริโภคแคลเซียมเสริมด้วย นอกจากนี้ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia) ยังทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ตะคริว หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นชักได้ (ซึ่งเป็นอาการที่พบในผู้ขาดวิตามิน D เช่นกัน เพราะวิตามิน D ช่วยปรับสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย)

 
5. กรดโฟลิก
กรดโฟลิกเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นมากสำหรับผู้หญิงที่กำลังพยายามจะตั้งครรภ์ และยังคงจำเป็นที่สุดต่อไปจนกระทั่งอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นสารอาหารสำคัญในกระบวนการสร้างสมองของทารกนระยะตัวอ่อน หากทารกไม่ได้รับกรดโฟลิกที่พอเพียงจากผู้เป็นแม่ อาจทำให้เกิดภาวะ neural tube defects คือความผิดปกติในการสร้างหลอดประสาท อันมีผลต่อไขสันหลังและสมองไม่อาจพัฒนาได้สมบูรณ์

 
6. วิตามินเอ และ ซี
สำหรับผู้ใหญ่ที่กินผักได้ สามารถได้รับวิตามินเหล่านี้จากอาหาร อย่างแครอท มันหวาน ที่มีวิตามินเอสูง และกีวี พริกหวานสีแดง ที่มีวิตามินซีสูง การทานวิตามินทั้งสองตัวนี้เสริมจึงไม่ถือเป็นสิ่งจำเป็นมากนัก ยกเว้นแต่เด็กๆ โดยเฉพาะวัยตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ขวบ ที่ดื่มนมสูตรสำหรับช่วงวัยน้อยกว่าวันละ 500 มิลลิลิตร เด็กกลุ่มนี้ควรต้องได้รับวิตามินเสริมเอและซี เพราะอาหารที่เด็กๆ กินยังไม่หลากหลายพอที่จะได้รับวิตามินทั้งสองอย่างเพียงพอนั่นเอง

ที่มา: Independent