นักวิทย์ทดลองมดลูกเทียมในสัตว์สำเร็จ แง้มประตูบานใหม่ในการช่วยทารกคลอดก่อนกำหนด

การทดสอบเลี้ยงลูกสัตว์คลอดก่อนกำหนดในมดลูกเทียมประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก หลังลูกแกะคลอดก่อนกำหนดเจริญต่อในมดลูกเทียมได้อย่างสมบูรณ์ แง้มประตูแห่งความหวังบานใหม่สู่การช่วยทารกคลอดก่อนกำหนดให้มีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น

ผลการวิจัยดังกล่าวนำโดยนายแพทย์อลัน เฟลค ศัลยแพทย์ด้านการตั้งครรภ์จากโรงพยาบาลเด็กแห่งฟิลาเดเฟีย สหรัฐฯ และทีม ได้รับการเผยแพร่ลงในเว็บไซต์วารสาร Nature Communications เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 โดยการวิจัยมดลูกเทียม ได้ทำการทดลองกับลูกแกะ 6 ตัวที่มีอายุเทียบเท่าทารกอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ ที่ผ่าเคลื่อนย้ายจากแม่แกะมาสู่มดลูกเทียม หรือ ไบโอแบ็ก เชื่อมสายรกเข้ากับระบบแลกเปลี่ยนก๊าซ เพื่อเลียนแบบการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและสารอาหาร โดยภายในมดลูกเทียมยังมีของเหลวเหมือนน้ำคร่ำที่มีเคมีและสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญของตัวอ่อน

การทดลองดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เมื่อลูกแกะสามารถเจริญเติบโตต่อไปภายในมดลูกเทียมได้อย่างเป็นปกติ จากลักษณะตัวอ่อนแดง ๆ ผิวบางใสจนเห็นเป็นลูกแกะมีขนอ่อนสีขาว ๆ ปกคลุม โดยบางตัวใช้เวลาเจริญเติบโตในมดลูกเทียมนี้นานถึง 4 สัปดาห์ ขณะผลการวิจัยระบุว่า ผลการทดสอบความแข็งแรงปอดของลูกแกะที่เติบโตในมดลูกเทียมมีประสิทธิภาพเท่ากับลูกแกะปกติที่อายุเท่ากัน โดยตัวที่โตที่สุดจากการทดลองนี้มีอายุ 1 ปีแล้ว และเป็นปกติสมบูรณ์ทุกประการ

ทีมวิจัยคาดหวังให้ความสำเร็จในการวิจัยนี้นำความหวังและหนทางมาสู่วงการแพทย์ต่อการช่วยชีวิตทารกที่คลอดก่อนกำหนด เพราะยิ่งทารกที่มีสิทธิ์คลอดก่อนกำหนดสามารถอยู่ในครรภ์มารดาต่อได้นานเท่าไร ร่างกายก็จะพัฒนาและแข็งแรงได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยทางการแพทย์แล้วทารกคลอดก่อนกำหนดในช่วงที่น่าเป็นห่วงมากคืออายุครรภ์ระหว่าง 23-28 สัปดาห์ ซึ่งแม้จะสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่มักประสบภาวะพิการหรืออวัยวะทำงานบกพร่อง อันเนื่องมาจากลืมตาดูโลกก่อนร่างกายพัฒนาได้สมบูรณ์

ในขณะนี้ทางทีมวิจัยกำลังหารือกับองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA และคาดหวังว่าการใช้มดลูกเทียมมาเพื่อช่วยชีวิตทารกจะเกิดขึ้นได้จริงภายใต้ช่วงทดลองทางการแพทย์ภายใน 3 ปีนี้ แต่อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญด้านยาและวิทยาศสาตร์การเจริญพันธุ์ จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ได้แสดงความคิดเห็นว่า การนำมดลูกเทียมมาใช้ในทางการแแพทย์นั้นยังเป็นความหวังอันห่างไกล อาจต้องรออีกถึง 20 ปีด้วยซ้ำ

ที่มา: The Guardian
ภาพและคลิป: Nature Communications