ร้านกาแฟที่ขายจักรยาน? ร้านจักรยานที่โชว์ผลงานศิลปะ? หรือแกลเลอรี่ที่เสิร์ฟอาหารเครื่องดื่มน่าทาน? องค์ประกอบหลายอย่างในพื้นที่สองชั้นที่ตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้สีเรียบๆ ในบรรยากาศโล่งสบายของร้าน “sora city” กลางซอยสุขุมวิท 26 ชวนให้เราสงสัยว่าจะนิยามพื้นที่นี้ว่าอะไรดี

“เราไม่ได้ผูก sora city ให้เป็นแค่ร้านจักรยานหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันคือความเป็นเราในหลายๆ รูปแบบ” คุณแอม-ปัณฑารัฐธีร์ เมธีสุทธิวงศ์ หนึ่งในเจ้าของร้านบอกกับเราอย่างเป็นกันเองในบ่ายวันที่ท้องฟ้าสดใส คล้ายจะต้อนรับให้เราเข้ามารู้จักเมืองท้องฟ้าเล็กๆ แห่งนี้

เมืองที่ประกอบไปด้วยความชอบทุกอย่างของเจ้าของร้าน และหวังว่าคนที่เข้ามาจะชอบเหมือนกัน

เรื่องดีที่เริ่มจากเรื่องร้าย

จุดเริ่มต้นของ sora city คือจักรยาน แต่เป็นเหตุการณ์ที่คุณเนท-วนัส ธีรจุฑาพงศ์ แฟนหนุ่มของคุณแอมประสบอุบัติเหตุเอ็นไขว้เข่าหน้าขาด ทำให้ต้องทำกายภาพบำบัดโดยมีจักรยานเป็นหนึ่งในกีฬาไม่กี่ชนิดที่สามารถเล่นได้ พอเริ่มปั่นก็ชอบ จักรยานแบรนด์ sora city เลยเกิดขึ้นด้วยคอนเซปท์ที่ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับการออกแบบและเลือกชิ้นส่วนในแบบของตัวเอง

“เราเคยเป็นลูกค้ามาก่อน จักรยานทั้งคันเราไม่ได้อยากได้ทุกชิ้นส่วนที่มีอยู่ สมมติไปซื้อมาก็จะมีบางส่วนที่เราไม่ชอบ อยากเปลี่ยนเบาะบ้าง ก็ต้องไปถอดออก เสียเงินไปฟรีๆ แต่ราคาที่ลูกค้าจ่ายให้เราคือไม่ต้องจ่ายในชิ้นส่วนที่เขาไม่ต้องการเลย” แอมเล่าให้ฟังก่อนบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านจะมานั่งดูตอนประกอบจักรยานทั้งวัน เลือกชิ้นส่วนที่ไม่ชอบออกได้ตามใจชอบ “เพราะเราเชื่อว่าคนขี่จักรยานจะรู้สึกผูกพันกับจักรยานของตัวเอง จักรยานที่ได้มาก็จะเป็นคันที่เขาถูกใจแล้ว”

จักรยานเป็นพาหนะที่มีรายละเอียดในทุกชิ้นส่วน ไม่ใช่ตัวต่อที่แค่เอาบล็อกมาต่อกันเฉยๆ แถมยังต้องคำนึงถึงสมรรถภาพในการขี่และความรู้สึกของเจ้าของ จักรยานสไตล์ดัทช์รุ่น light&wind ของที่นี่เลยผ่านกระบวนการคิดภายใต้คอนเซปท์ที่ลูกค้ามีส่วนร่วมในการดีไซน์จักรยานของตัวเอง ด้วยชิ้นส่วนที่มีมาตรฐานสากล เช่น ชุดเกียร์ shimano จากญี่ปุ่น และขนาดของล้อที่เหมาะสมกับการขี่ในเมือง เลยทำให้ลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศมั่นใจและหันมาลองขี่จักรยานผีมือคนไทยแบรนด์นี้

พื้นที่ที่เป็นทุกอย่าง

“พอเรามีโอกาสทำร้านก็ไม่ได้อยากให้เป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนรักจักรยานเท่านั้น แต่เรามีกาแฟ มีอาหาร เป็นแกลเลอรี่ให้เข้ามาดูงานศิลปะ เราเคยทำงานหนักมาก่อน ถ้ามีเวลาว่างแล้วมีสถานที่ให้สามารถพักผ่อนหย่อนใจได้และอยู่ในกรุงเทพฯ ก็คิดว่าพื้นที่นี้น่าจะเป็นหนึ่งในที่ที่หลายคนอยากมา” แอมบอกถึงความคิดที่ผนวกจักรยาน คาเฟ่ และแกลเลอรี่เป็นสามองค์ประกอบหลักของที่นี่

ผลลัพธ์ก็คือ sora city ได้ต้อนรับลูกค้าหลากกลุ่มหลายวัย ทั้งเด็กนักเรียนมานั่งพูดคุย ทานแพนเค้กกัน พนักงานออฟฟิศที่อุดหนุนกาแฟ ฟรีแลนซ์มานั่งทำงาน แก๊งค์นักปั่นที่แวะเข้ามาพูดคุยและเลือกซื้ออุปกรณ์กลับไป หรือคนที่ตั้งใจมาชมงานภาพถ่ายที่จัดแสดงไว้อย่างเดียว

“ทุกอย่างมัน connect กัน คนที่มาดูแกลเลอรี่ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำแพนเค้กเรา บางคนมาซื้อกาแฟก็เข้ามาดูจักรยาน เหมือนเรามีของหลายๆ อย่างให้ลูกค้าได้เลือกได้ลอง”

เมื่อไม่ได้เจาะจงว่าเป็นร้านจักรยาน บวกกับคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนของร้าน เลยทำให้ที่นี่เป็นคอมมูนิตี้รองรับคนหลายกลุ่มที่สนใจหลายอย่างได้เข้ามาพบปะกัน

“เรามองว่าการมีร้านกาแฟเปิดเยอะก็เพิ่มช้อยส์ให้ลูกค้า เพราะแต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์หรือตกแต่งไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าอยากเข้าร้านบรรยากาศแบบไหน ของเราเน้นความสบายตา โทนสีขาว อยากให้ร้านเรียบง่ายและโล่งที่สุดเพราะเราต้องอยู่ได้ทุกวัน”

เมื่อบวกกับทำเลของซอยสุขุมวิท 26 ที่ทั้งร่มรื่นและสงบ sora city เลยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากหาร้านนั่งพักผ่อนในบ่ายวันหยุด

พักชมงานศิลปะที่น่าสนใจ

เรามองเห็นความคล้ายกันหลายอย่างจากนิทรรศการภาพถ่ายที่จัดแสดงใน sora city ตั้งแต่ ‘Real Alaska’ ของเบ๊น-ธนชาติ ศิริภัทราชัย, ‘Tokyo Story’ โดยมิกกี้-วิธวัช และล่าสุดคือ ‘ท้องฟ้าของมานี’ โดยมานีมีใจ ทั้งหมดดูแล้วเพลิดเพลินสบายตา มีชีวิตชีวา ยังไม่นับรวมอีเว้นท์เปิดอัลบั้มเพลงฟังสบายของวง KoKo’ จนเราสงสัยว่าพวกเขาคัดเลือกศิลปินที่จะมาร่วมงานด้วยยังไง

“เกิดจากการคุยร่วมกันมากกว่าว่าไปด้วยกันได้ไหม มีทั้งศิลปินเขาเลือกเรา เราก็เลือกเขาเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างต้องมีส่วนที่ intersect กันได้ อย่างภาพถ่ายของเบ๊นที่ค่อนข้างเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ หรือมานีที่เป็นรูปท้องฟ้า ก็ตรงกับคอนเซปท์มินิมอลที่ร้านเราเป็น เรามีจุดยืนที่ชัดเจน ศิลปินแต่ละคนก็มีจุดยืนของเขาเหมือนกันว่างานของเขากับร้านเราสอดคล้องกันไหม”

แอมออกตัวว่า sora city ไม่ใช่แกลเลอรี่ใหญ่โตและไม่ได้มีออแกไนเซอร์จัดงาน ทุกนิทรรศการที่ผ่านมาจึงใช้ใจล้วนๆ “ตอนแรกเราอาจสื่อสารไม่ชัดเจนว่านิทรรศการเรามีแค่ 10 รูปเองนะ แต่รูปที่มาแสดงคือศิลปินคัดมาแล้วว่าเป็น 10 รูปที่ดีที่สุด บางคนก็บอกว่าทำไมรูปน้อยจัง มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ว่าถ้าคนที่เขาอิน เขาจะใช้เวลาดูรูปนึงนานเหมือนกัน”

เมืองท้องฟ้าที่กว้างกว่าเดิม

การพัฒนาเป็นเรื่องธรรมดาของงานบริการ ไม่ว่าจะในส่วนคาเฟ่ที่แอมเป็นคนคิดสูตรขนมเครื่องดื่มต่างๆ ด้วยตัวเองอย่างตั้งใจ หมั่นคิดเมนูใหม่ๆ และชวนเพื่อนฝูงมาทานแล้วถามฟีดแบ็กเสมอ หรือแกลเลอรี่ที่ติดต่อไว้กับศิลปินหลายคน (แว่วๆ มาว่าในปีนี้น่าจะมีงานของเบ๊น-ธนชาติจัดแสดงอีก)

“เราไม่ได้เร่งรีบอะไร อยากทำทุกอย่างให้ stable ไม่ใช่กราฟพุ่งสูงแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากให้คนที่มากลับไปแล้วประทับใจ ตอนนี้พอใจไหม พอใจนะ แต่เราก็ยังต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ว่าตรงนี้ทำเพิ่มได้ไหม อย่างตอนนี้ก็อยากเพิ่มเชลฟ์หนังสือให้มากขึ้น เพิ่มสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้”

การเติบโตของแบรนด์จักรยานก็น่าสนใจ แอมเล่าว่ามีคนติดต่อจะเป็นดีลเลอร์รับจักรยานไปขายที่ต่างจังหวัดให้ ทำให้ทั้งทีมต้องมาคิดกันว่าจะทำยังไงให้จักรยานทุกคนมีคุณภาพในมาตรฐานของ sora city ซึ่งน่าจะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

“เราอยู่ในช่วงที่ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ พัฒนา แต่เรามั่นใจในคุณภาพของสินค้าเราซึ่งเป็นแบรนด์ไทยด้วย ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองไป” แอมตอบเราเรื่องจักรยานที่เป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่แห่งนี้

แต่เรารู้ดี…ทุกสิ่งที่แอมและเนตชอบภายใต้เมืองท้องฟ้าแห่งนี้กำลังเติบโตไปได้สวยเลยทีเดียว

FIND IT:
sora city
61/52 ซอยสุขุมวิท 26 คลองตัน กรุงเทพฯ
Tel. 02-001-6600
วันจันทร์-ศุกร์ 09.00 น. – 18.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ 09.00 น. – 20.00 น.
(ปิดวันพุธ)

Upstarts: ล้วงเคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์ธุรกิจอินเทรนด์ ชวนกระตุกไอเดียต่อยอดอีกมากมาย
มีธุรกิจใดน่าสนใจไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ส่งมาบอกเราได้ที่ [email protected]