สิงห์-มิ้นท์ สองนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ชวนคนไทยเที่ยวแบบไม่เอาถ่าน

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ดึงสองนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ สิงห์-วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียน นักคิด พิธีกรรายการโทรทัศน์ และมิ้นท์-มณฑล กสานติกุล เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก I Roam Alone เป็นผู้นำแนวคิด “การท่องเที่ยวแบบไม่เอาถ่าน (Low Carbon Tourism)” โดยได้แถลงผลการดำเนินงานเบื้องต้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ช่วงบ่ายวันที่ 24 มิถุนายน

พันเอก ดร. นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการอพท. กล่าวว่าในแต่ละปี ภาคการท่องเที่ยวปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึงร้อยละ 4.95 ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลก และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 130% ภายในปี พ.ศ.2578 หรือในอีก 20 ปีข้างหน้า

อพท. จึงมีนโยบายสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ่ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานอื่นๆ เป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริง ทำกิจกรรมที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคำนึงถึงการได้ประโยชน์ร่วมกัน

ในเสวนา “เที่ยวแบบคนไม่เอาถ่าน” สิงห์และมิ้นท์ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความประทับใจจากการไปร่วมทริปท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำกับอพท. ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดน่านซึ่งใช้วิธีให้นักท่องเที่ยวประทับตราลงสมุดพาสปอร์ตหากเข้าพักหรือทานอาหารในร้านที่ร่วมกิจกรรมซึ่งกระจายอยู่ทั่วจังหวัด หรือที่ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดตราด ซึ่งมีชาวพุทธ ชาวมุสลิมและชาวจีนอาศัยอยู่ด้วยกันได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องศาสนา ซึ่งนี่เองเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยวแบบท้องถิ่นที่ต้องเริ่มสร้างความเข้าใจ

“บ้านเราจะมองว่าการไปเที่ยวพักผ่อนคือต้องอยู่สบาย เราพักโรงแรมหรูๆ กินให้เยอะที่สุด เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวทุกวัน เปิดแอร์ทิ้งไว้ เพราะฉันจ่ายเงินไปแล้ว หรือออกไปเดินห้างฯ คือยกไลฟ์สไตล์ของคนเมืองไปไว้ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน มันสร้างปัญหาให้อัตลักษณ์ของพื้นที่แต่ละแห่งหายไป” วรรณสิงห์แสดงความคิดเห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน ก่อนบอกว่าถ้าท้องถิ่นสามารถสร้างคุณค่าให้สิ่งที่มีอยู่เดิมดูน่าค้นหา ก็จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวออกจากโรงแรม มาเดินสำรวจย่านนั้นๆ มากขึ้น

“ถ้าเราไม่คิดว่าการเดินทางต้องสบาย เราจะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปโดยไม่รู้ตัว”

อัตลักษณ์เป็นคำสำคัญที่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มองหา “บ้านเราโปรโมทการท่องเที่ยวแค่ทะเลหรือปาร์ตี้ซะเยอะ ชาวต่างชาติเขาเลยเข้าใจว่ามีแค่นั้น เพราะเขานึกถึงแค่พัทยา ภูเก็ต ตลาดน้ำ ซึ่งจริงๆ ไทยเรามีของดีเยอะ ถ้าพยายามพัฒนาเอกลักษณ์ของท้องถิ่นให้เป็นจุดขาย เราก็จะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หาไม่ได้จากที่ไหน” มิ้นต์เสริม

วรรณสิงห์บอกว่าการท่องเที่ยวแบบคนไม่เอาถ่านหรือโลว์คาร์บอนแค่ในบ้านเราอาจไม่ได้ชะลอเรื่องภาวะโลกร้อนได้มากนัก เพราะยังขึ้นกับประเทศอื่นๆ ทั้งโลก แต่ถ้ามองเรื่องทรัพยากรท้องถิ่นก็ถือว่าตอบโจทย์

“ไม่ใช่แค่ทรัพยากรเชิงธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็นเชิงวัฒนธรรมด้วยที่เราจะไม่ได้มีฟาร์มเลี้ยงแกะหรือห้างสรรพสินค้ากันทั้งประเทศ คำถามคือทำยังไงให้คนใส่ใจว่าการท่องเที่ยวแบบไม่เอาถ่านนั้นเป็นยังไง สร้างความเข้าใจให้ทั้งผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวเอง”

สำหรับ 6 พื้นที่พิเศษที่อพท. หวังให้เป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวแบบโลว์คาร์บอน ได้แก่ หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง, เมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง, อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร, เลย, เมืองเก่าน่าน และเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

ทุกพื้นที่รอให้คนไทยเข้าไปสำรวจและพบประสบการณ์ใหม่ๆ แบบที่เราน่าจะลืมการนอนในห้องพักไปเลย