ย้อนรอย 9 เหตุกราดยิงและสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
เหตุกราดยิงที่ลาสเวกัสที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2017 เป็นเหตุสะเทือนขวัญชาวสหรัฐฯ ระลอกใหม่ โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 3 ตุลาคม ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งไปอยู่ที่ 59 ศพ และบาดเจ็บอีก 527 รายแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นเหตุกราดยิงที่ร้ายแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ในตอนเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุได้ถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุของนายสตีเฟน แพดด็อก วัย 64 ปี ที่ฆ่าตัวตายคาจุดยิงในห้องพักชั้น 32 ของโรงแรมที่อยู่ติดกับจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นลานกลางแจ้ง แม้กลุ่ม IS จะออกมาอ้างว่ามือปืนเป็นคนของตน แต่ทางการสหรัฐฯ ยังคงไม่สรุปว่าเป็นการก่อการร้ายโดยชี้ว่ายังไม่พบหลักฐานระบุชัดว่านายแพดด็อกฝักใฝ่กลุ่มรัฐอิสลาม
แต่แม้ไม่อยากได้ยินแต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าเหตุกราดยิงอันน่าโศกสลดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในแผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็นหม้อหลอมรวมหลากหลายวัฒนธรรมเช่นสหรัฐอเมริกา วันนี้จึงเราขอพาท่านไปย้อนรอยอีก 9 เหตุการณ์กราดยิงและสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และได้แต่ภาวนาว่าหลังเหตุการณ์ทั้ง 9 และเหตุการณ์อันเลวร้ายล่าสุดที่ลาสเวกัสแล้ว สหรัฐฯ จะไม่ต้องนับบวกเพิ่มเรื่องโศกสลดใดๆ เพิ่มเข้าไปในหน้าประวัติศาสตร์ของตนอีก…
1. เหตุกราดยิงที่ออร์แลนโดไนท์คลับ เสียชีวิต 49 ศพ (มิถุนายน 2016)
“นายโอมาร์ มาทีน” ชายวัย 29 ปี อาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เดินย่างเข้าไปที่ The Pulse ไนท์คลับชาวสีรุ้งในฟลอริดา ก่อนใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติกราดยิงผู้คนในนั้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 49 ราย และบาดเจ็บอีก 58 คน ก่อนมีการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่และถูกวิสามัญในที่สุด
แม้มาร์ทีนจะเคยถูกสอบสวนในฐานะผู้อาจมีความเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และเขายังต่อสายถึง 911 ประกาศตนว่ากำลังลงมือในฐานะเป็นนักรบอิสลาม ทั้ง IS เองก็ออกมาประกาศตนว่าชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่กระนั้นก็ไม่มีการสรุปออกมาว่าเหตุการณ์นี้เป็นการก่อการร้าย เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนที่เชื่อมโยงมือปืนกับ IS ในทางกลับกันมีรายงานว่านายมาร์ทีนเองก็มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน เคยมาเป็นลูกค้าที่ไนท์คลับแห่งนี้ และเคยใช้แอพเพื่อหาคู่ขาเพศเดียวกันอีกด้วย แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงที่แน่นหนาพอ แรงจูงใจที่แท้จริงในการการก่อเหตุของเขายังคงหาข้อสรุปไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
2. เหตุกราดยิงที่เวอร์จิเนียเทค เสียชีวิต 32 ศพ (เมษายน 2007)
9 ปีก่อนเกิดเหตุ “โช ซึง-ฮี” หนุ่มชาวเกาหลีใต้เคยเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค แต่แล้วในเช้าวันที่ 16 เมษายน 2007 นายซึง-ฮี ในวัย 23 ปี โผล่เข้ามาในรั้วสถาบันเดิมพร้อมปืนสั้น 2 กระบอก บุกเข้าไปในแคมปัส West Ambler Johnston Hall ยิงเหยื่อเสียชีวิต 2 ราย และอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาก้ไปปรากฏตัวที่แคมปัส Norris Hall ที่ซึ่งได้ลั่นไกปลิดชีวิตเหยื่อไปอีก 30 ราย รวมมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 32 ศพ และบาดเจ็บอีก 17 คน
จากกการสืบสวนพบว่านายโช ซึง-ฮี มีประวัติป่วยโรควิตตกกังวลขั้นร้ายแรงในช่วงไฮสคูล แต่ประวัติการป่วยไม่ได้รับการรายงานจนถึงมหาวิทยาลัย เขาได้เข้าศึกษาต่อในเวลาต่อมาและยังเคยก่อเรื่องแอบสะกดรอบตามนักศึกษาสาว 2 รายด้วย จากกาารสอบสวนความผิดครั้งนั้นทำให้นายซึง-ฮี ถูกระบุว่า “ป่วยทางจิต” แต่เนื่องด้วยช่องโหว่ทางกฎหมายว่าการปกปิดข้อมูลเพื่อความเป็นส่วนตัวองผู้ป่วย นายซึง-ฮี จึงสามารถหาปืนมาไว้ในครอบครองและนำมาสู่การก่อเหตุโศกสลดดังกล่าว เหตุการณ์นี้เป็นการจุดประเด็นให้มีการถกเถียงเรื่องความรัดกุมของกฏหมายอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนขึ้น
3. เหตุกราดยิงที่โรงเรียนประถมแซนดี้ฮุก เสียชีวิต 26 ศพ (ธันวาคม 2012)
เช้าวันศุกร์ที่่ 14 ธันวาคม 2012 “อดัม แลนซา” หนุ่มวัยรุ่นอายุ 20 ปี ขับรถของมารดาเข้ามาในโรงเรียนประถมแซนดี้ฮุก ในเมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนคติกัต เสียงปืนนัดแรกดังลั่นได้ยินไปทั่วผ่านอินเตอร์คอมของแต่ละห้องเรียน ก่อนมือปืนจะตระเวนไปหาเหยื่อตามแต่ละห้อง จากเหตุการณ์นี้มีเด็กนักเรียนเสียชีวิต 20 ศพ เหยื่อแต่ละรายอยู่ในอายุระหว่าง 6-7 ปีเท่านั้น และมีบุคคลากรของโรงเรียนถูกยิงดับอีก 6 ศพ
ก่อนจะมาถึงโรงเรียน มือปืนเลือดเย็นได้ยิงศีรษะแม่ของตัวเองตายคาบ้าน แล้วจึงขับรถของเธอออกมา และเมื่อเจ้าหน้าที่รายแรกรุดถึงที่เกิดเหตุ นายอดัม แลนซา ก็เหนี่ยวไกยิงจ่อศีรษะฆ่าตัวตาย
4. เหตุกราดยิงที่ร้านอาหาร Luby’s เสียชีวิต 23 ศพ (ตุลาคม 1991)
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1991 ที่ร้านอาหารชื่อ Luby’s “นายจอร์จ เฮนนาร์ด” วัย 35 ปี อาชีพขับรถบรรทุก ก่อเหตุขับรถเข้าชนกระจกทะลุเข้ามาถึงในตัวร้าน ขณะที่ลูกค้าด้านในกำลังคิดว่านี่เป็นอุบัติเหตุนายเฮนนาร์ดก็หยิบปืนออกมากราดยิงใส่คนข้างใน มีการคาดคะเนว่าตอนนั้นในร้านมีลูกค้าราว 140 คน เป็นเหตุในมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 23 ศพและบาดเจ็บอีก 27 คน เมื่อเจ้าหน้าทีตำรวจรุดมาถึงที่เกิดเหตุ นายเฮนนาร์ดหนีเข้าไปหลบในห้องน้ำ และใช้อาวุธปืนยิงศีรษะฆ่าตัวตาย
จากการสืบสวนพบว่านายจอร์จ เฮนนาร์ด มีความเกลียดชังผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย เชื่อว่านี่เป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ
5. เหตุกราดยิงที่ร้านแมคโดนัลด์ในซานอิซีโดร เสียชีวิต 21 ศพ (กรกฎาคม 1984)
เหตุโศกสลดที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นนี้ได้เกิดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 1984 โดยผู้ก่อเหตุคือ “นายเจมส์ ฮิวเบอร์ตี้” พ่อลูกสองวัย 41 ปี ก่อนหน้าจะเกิดเหตุ 2 วัน เจมส์บอกกับภรรยาว่าเขาคิดว่าตัวเองน่าจะมีปัญหาด้านสุภาาพจิต และได้โทรไปคลินิกจิตเวชเพื่อขอรับการรักษา โอเปอเรเตอร์รับเรื่องไว้ บอกว่าจะจัดคิวให้และจะติดต่อกลับมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง ทว่า…โอเปอเรเตอร์จดชื่อของเขาผิด จึงไม่สามารถติดต่อมาหาได้
ในวันถัดมาเหตุการณ์ยังคงปกติ เจมส์พาลูกๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ ทว่าเมื่อถึงรุ่งขึ้นอีกวัน เขาออกจากบ้านไปโดยบอกภรรยาว่าจะออกไป “ล่ามนุษย์” ก่อนบุกเข้าไปในร้านแมคโดนัลด์ สาขาซานอิซีโดร ในเมืองซานดิเอโก รัฐเทกซัส ก่อเหตุกราดยิงใส่คนร้านเสียชีวิต 21 ศพ บาดเจ็บอีก 19 ราย ก่อนจะถูกกระสุนจากเจ้าหน้าที่มือสไนเปอร์ยิงปลิดชีพ
6. เหตุกราดยิงที่ซานเบอนาร์ดิโน เสียชีวิต 14 ศพ (ธันวาคม 2015)
เหตุกราดยิงของคู่สามีภรรยา “นายซาเอ็ด ริซวาน ฟารุค” อายุ 28 ปี และ “นางทัชฟีน มาลิก” อายุ 27 ปี ที่ศูนย์งานบริการสังคมในเมืองซานเบอนาร์ดิโน แคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2015 สองสามีภรรยาเข้าไปกราดยิงภายในศูนย์เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 14 ศพ และบาดเจ็บสาหัสอีก 22 ราย ก่อนหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุโดยใช้พาหนะรถ SUV อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่จะสะกดรอยสกัดจับได้ในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา เกิดการยิงต่อสู้และในที่สุดทั้งคู่ถูกวิสามัญ นอกจากนี้เมื่อไปตรวจสอบที่บ้านพักของทั้งสอง ก็ได้พบอาวุธจำนวนมาก รวมทั้งดินปืน และเครื่องประกอบระเบิดด้วย
จากการตรวจสอบพบว่าทั้งนายซาเอ็ดและนางทัชฟีน ต่างเป็นพลเมืองที่ถูกต้องของอเมริกา นายซาเอ็ดมาจากครอบครัวชาวปากีสถานที่เกิดในสหรัฐฯ ส่วนนางทัชฟีนเกิดที่ปากีสถานต่อมาจึงได้เป็นพลเมืองอเมริกา FBI ระบุว่าทั้งคู่เป็น homegrown violent extremist หรือพวกหัวรุนแรงต่อแผ่นดินเกิด โดยได้รับแรงจูงใจจากกลุ่ม IS แต่ไม่ได้รับการชี้นำจากกลุ่มรัฐอิสลามโดยตรง
7. เหตุกราดยิงที่ที่ทำการไปรษณีย์เอ็ดมอนด์ โอกลาโฮมา เสียชีวิต 14 ศพ (สิงหาคม 1986)
ผู้ก่อเหตุครั้งนี้คือพนักงานไปรษณีย์ของที่นี่เอง ชื่อ “นายแพทริก เชอร์ริล” เขาเดินเข้ามาพร้อมอาวุธปืน ก่อนยิงใส่คนที่อยู่ข้างใน หนึ่งในนั้นคือ ริชาร์ด เอสเซอร์ หัวหน้าที่เพิ่งเรียกเขาไปตำหนิเมื่อวันก่อน และยังตามหานายบิล แบลนด์ หัวหน้าอีกคนเพื่อจะยิงด้วย แต่โชคช่วยที่วันนั้นนายบิลเข้าออฟฟิศสาย เมื่อเขามาถึงที่ทำงาน ก็พบว่านายแพทริกก่อเหตุยิงใส่เพื่อนร่วมงานและคนในนั้นเสียชีวิต 14 ศพ บาดเจ็บอีก 6 ราย ก่อนฆ่าตัวตายในที่เกิดเหตุ
8. เหตุกราดยิงที่อาคารสูงมหาวิทยาลัยเทกซัส เสียชีวิต 13 ศพ (สิงหาคม 1966)
เหตุการณ์อันเกิดจากน้ำมือของนักเรียนตัวอย่าง เด็กชายผู้มีพรสวรรค์ เด็กหนุ่มที่ได้ตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มลูกเสือ และเป็นมือยิงล็อกเป้าของนาวิกโยธิน “ชาร์ลส์ วิทแมน” แต่เมื่่อเขาเริ่มเรียนเป็นนักเรียนวิศวกรรมเครื่องกล วิทแมนกลับกลายเป็นนักเรียนท้ายแถว แถมเริ่มติดการพนัน
ในวันเกิดเหตุเมื่อ 1 สิงหาคม 1966 วิทแมนฆ่ามารดาและภรรยาตัวเองตายคาบ้าน ก่อนพกปืนขึ้นไปยังหอสูงอาคารของมหาวิทยาลัยเทกซัส เพ่งมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างแล้วยิงปลิดชีพเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดับ 13 ศพ บาดเจ็บอีก 31 คน ก่อนเจ้าหน้าที่จะบุกเข้าถึงตัวและสังหารเขาในที่สุด
จากการผ่าพิสูจน์ศพของวิทแมน พบว่าเขามีก้อนเนื้องอกในสมอง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าคือสาเหตุของพฤติกรรมที่แปรปรวนของเขา
9. เหตุสังหารหมู่ที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ เสียชีวิต 13 ศพ (เมษายน 1999)
อีริค แฮร์ริส และดีแลน คลีโบลด์ คือชื่อของ 2 นักเรียนวัยรุ่นเกรด 12 ที่เป็นมือสังหารผู้วางแผนการกันมาอย่างดี มีการใช้ทั้งระเบิดไฟ อาวุธมีด และปืน ทั้งคู่ไล่สังหารเพื่อนร่วมสถาบันไป 12 ศพ อาจารย์ 1 ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีก 24 ราย ก่อนจะล่าถอยจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่หนีเข้าไปในห้องสมุด และฆ่าตัวตายที่นั่น
10. เหตุกราดยิงที่ฟอร์ทฮูด เสียชีวิต 13 ศพ (พฤศจิกายน 2009)
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2009 เกิดเหตุเปิดฉากกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่และประชาาชนในฟอร์ทฮูด หนึ่งในฐานทัพของสหรัฐฯ ในรัฐเทกซัส ผู้ก่อเหตุครั้งนี้ยิ่งไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น “นีดาล ฮัดสัน” นาวิกโยธินยศพลตรีและจิตแพทย์ประจำกองทัพ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพ และบาดเจ็บอีกมากกว่า 30 ราย ส่วนนายนีดาล ฮัดสัน ถูกยิงบาดเจ็บระหว่างการจับกุมตัว อันส่งผลให้เขาเป็นอัมพาตซีกล่างตั้งแต่สะโพกลงมา
เขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 13 กระทง และพยายามฆ่าอีก 32 กระทง ศาลอ่านคำตัดสินโทษประหารชีวิตไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 ในปัจจุบันนายฮัดสัดถูกควบคุมตัวรอรับโทษประหารอยู่ที่ค่ายทหารในฟอร์ทลีฟเวนวอร์ธ รัฐแคนซัส
ที่มา: Dailymail
You may be interested
คุณครูอวดของขวัญชิ้นประทับใจจากลูกศิษย์ตัวน้อยผู้ไม่มีอะไรจะให้..แต่ก็หามาให้จนได้
Sapparot - Dec 26, 2018คุณครูชั้นประถมในสหรัฐฯ อวดของขวัญชิ้นโดนใจที่ได้รับในช่วงเทศกาลแห่งความสุขจากลูกศิษย์ตัวน้อยที่แม้ตัวเองจะไม่มีอะไรก็ยังตั้งใจสรรหาของขวัญมาให้คุณครูจนได้ ถึงจะเป็นแค่มาร์ชเมลโลว์จากซีเรียลอาหารเช้าธรรมดา ๆ แต่เพราะว่ามีความตั้งใจของหนูอยู่เต็มเปี่ยมในนั้น มันเลยพิเศษที่สุดเลย
10 รูปยอดไลค์สูงสุดใน Instagram 2018
Sapparot - Dec 25, 201810 รูปยอดไลค์สูงสุดจาก Instagram ปี 2018 รวมแล้วมาจากคนดังระดับโลกเพียง 5 คนเท่านั้น โดยมีหนูน้อย Stromi ลูกสาว Kylie Jenner เรียกยอดไลค์กดหัวใจให้คุณแม่ได้อย่างดีเชียว
อาทิตย์และดวงจันทร์ Rose Céleste เครื่องประดับน่ารักจาก Dior
Sapparot - Dec 24, 2018Dior เผยโฉมแอคเซสซอรี่ชิ้นใหม่ Rose Céleste จี้กลมรูปพระอาทิตย์-พระจันทร์ งานแฮนด์เมดสุดปราณีตจากทองคำและเปลือกหอยมุก