วิจัยชี้ช้างป่าแอฟริกันเจนใหม่วิวัฒนาการเกิดมาไร้งา หลังถูกล่าหนัก

นักวิจัยจากมูลนิธิ Elephant Voices ผู้ติดตามศึกษาโขลงช้างแอฟริกันมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ชี้ให้เห็นวิวัฒนาการอันน่าตระหนก เมื่อพบว่าช้างรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เกิดมาไร้งา โดยการศึกษาช้างเพศเมียในบางพื้นที่ของแอฟริกาพบว่า ในปัจจุบันพวกมันถึง 98% เกิดมาโดยไม่มีงา ขณะที่ในอดีตมีช้างเพศเมียเพียง 2-6% เท่านั้นที่จะไม่มีงา

สาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการวิวัฒนาการดังกล่าว คือการล่าช้างเอางาจากพวกมนุษย์นักล่าทั้งหลายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งงาช้างยังคงเป็นที่ต้องการอยู่มากในเอเชีย โดยเฉพาะที่ประเทศจีน มีการประเมินว่าช้างแอฟริกันกว่า 144,000 ตัว ถูกฆ่าในช่วงระหว่างปี 200-2014 การถูกล่าเพื่อเอาชิ้นส่วนอวัยวะนี้อย่างต่อเนื่อง ช้างสายพันธุ์นี้แทบสูญพันธุ์ไปในบางพื้นที่ ขณะพวกที่อยู่รอดก็เกิดการเปลี่ยนของยีนพูลของประชากรช้าง (gene pool คือ ยีนทั้งหมดที่มีอยู่ในประชากรในช่วงเวลาหนึ่ง) ส่งผลให้ช้างรุ่นถัดมาเกิดมาโดยไม่มีงา ตามกลไกการวิวัฒนาการ

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอุทยานแห่งชาติ Gorongosa ในโมซัมบิก ในช่วงระหว่างปี 1977-1992 ที่เกิดสงครามกลางเมือง ร้อยละ 90 ของประชากรช้างถูกล่าและสังหารเพื่อเอางา ส่งผลให้รุ่นลูกของช้างพวกนี้ ที่ในปัจจุบันพบว่าช้างเพศเมียที่มีอายุช่วง 35 ปีขึ้นไปไม่มีงา และแม้ว่าสถานการณ์การล่าจะลดน้อยลงและควบคุมได้แล้วในปัจจุบัน แต่ยีนไร้งานั้นก็ถูกส่งต่อมายังรุ่นหลาน ทำให้ร้อยละ 30 ของช้างเพศเมียที่เกิดใหม่ก็ไม่มีงาด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์เมื่อปี 2008 ยังพบว่า ในกลุ่มช้างที่ยังคงมีงา ขนาดงาของมันเล็กลงกว่าถึงครึ่งหนึ่งขนาดงาของบรรพบุรุษเมื่อ 100 ปีก่อน

แม้ว่าการไม่มีงาจะเป็นการปกป้องพวกมันจากการถูกมนุษย์ล่าได้ แต่นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ดี งามีประโยชน์สำหรับช้างเพื่อใช้ในการขุดดินเพื่อหาอาหารและน้ำ ไว้ขุดและเคลื่อนย้ายต้นไม้พุ่มไม้ต่าง ๆ ไว้เพื่อป้องกันตนเอง และยังเป็นสัญลักษณ์ทางเพศ ช้างที่ไม่มีงาก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่พิการ…

ที่มา: Independent
ภาพ: DKunert / pixabay